เมื่อพูดถึงการทำการตลาด ธุรกิจไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ จะเป็น SME หรือ Start Up ต่างก็ต้องให้ความสำคัญกับการทำการตลาด ธุรกิจจะอยู่ได้ก็เพราะการวางแผนการทำการตลาดที่ดีที่สามารถส่งเสริมให้มีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ โดยใช้รูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำโฆษณา การขายตรง การทำโปรโมชั่นต่าง ๆ หรือการใช้สื่อออนไลน์เข้ามาช่วย
ผู้ประกอบการจำเป็นต้องรู้จักลูกค้าและรู้ว่าลูกค้าอยู่ที่ไหน ต้องมองว่าตลาดของธุรกิจจะสามารถขยายไปในพื้นที่ใดได้บ้างนอกเหนือจากพื้นที่ในประเทศ เมื่อทำธุรกิจได้สักระยะหนึ่งการมองหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มผลกำไรให้มากขึ้น โดยการขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งจะทำให้ธุรกิจมีการเติบโต แต่ผู้ประกอบการก็จำเป็นต้องมีการวางแผนที่รัดกุม มีช่องทางสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ มีกลยุทธ์และแผนการตลาดที่ดีที่สามารถเข้าถึงตลาดได้ ช่องทางออนไลน์ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากลายเป็นช่องทางหลักในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เนื่องจากไม่ต้องลงทุนเปิดสาขาที่ต่างประเทศ ไม่เสียเวลาเดินทางในการทำธุรกิจ ติดต่อลูกค้าได้อย่างสะดวกรวดเร็ว แก้ปัญหาได้ทันท่วงที อีกทั้งยังสามารถใช้การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการทำโปรโมชั่นต่างๆ ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยไม่ยากนัก ปัจจัยเหล่านี้ จึงทำให้การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศโดยใช้เครือข่ายออนไลน์ได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการเพิ่มมากยิ่งขึ้น
เครื่องมือสำคัญที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าที่ผู้ประกอบการนิยมใช้ในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศและทำให้ลูกค้ารู้จักสินค้าหรือบริการมากขึ้นคือ “เว็บไซต์” ซึ่งการทำเว็บไซต์ในยุคแรกมีความยุ่งยาก สลับซับซ้อน และจำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในเขียนเว็บไซต์ขึ้นมา แต่ในปัจจุบันได้มีเว็บไซต์สำเร็จรูปที่มีการใช้งานที่ไม่ยุ่งยาก ผู้ประกอบการสามารถสร้างขึ้นเองได้ โดยจะมี Template ให้เลือกมากมายตามความต้องการ ดังนั้น เว็บไซต์จึงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ สามารถใช้เพื่อการสื่อสารการตลาดได้อย่างไม่มีข้อจำกัด นอกเหนือจากนี้ ผู้ประกอบการยังสามารถศึกษาเทรนด์ธุรกิจทั่วโลกได้โดยการใช้ Google Trends และ YouTube Trends ได้อีกด้วย [1]
1. Google เป็นเครื่องมือที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้นักการตลาดโดยเฉพาะ Google สามารถศึกษาพฤติกรรมการค้นหา “คำ” หรือ “ความสนใจ” ของผู้คนในโลกออนไลน์ได้ เนื่องจากในการใช้งาน Search Engine ของ Google ระบบจะทำการจัดเก็บข้อมูลการค้นหา และจากนั้นจึงนำมาประมวลผลเป็นสถิติส่งกลับมาให้ผู้ประกอบการธุรกิจเข้าไปตรวจสอบดูได้ว่า ความนิยมของคำค้นหาหรือเว็บไซต์ในช่วงเวลาขณะนั้นคืออะไร เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการทำโฆษณาได้
2. YouTube Trends นอกจาก Google จะมีเครื่องมือ Google Trend ให้นักการตลาด Google ศึกษาพฤติกรรมการค้นหาคำ Keyword ของลูกค้าแล้ว ต่อมา YouTube (ภายใต้การดูแลของ Google) ก็ได้เปิดตัว YouTube Trend Dashboard ที่จะช่วยบอกพฤติกรรมการค้นหาและการดูวิดีโอของกลุ่มเป้าหมาย
ต่อมาเมื่อผู้ประกอบการได้ข้อมูลความสนใจของผู้บริโภคจากการใช้เครื่องมือศึกษาตลาดแล้ว ผู้ประกอบการก็สามารถออกแบบเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น ประกอบกับในปัจจุบันที่การทำเว็บไซต์มีความสะดวกและง่ายมากขึ้น โดยการใช้เว็บไซต์สำเร็จรูป มี Template ให้เลือกหลากหลายรูปแบบที่สามารถจัดการและลงข้อมูลได้ง่าย ๆ ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม อีกทั้งยังสามารถเพิ่ม Feature สำคัญๆ ลงไปได้ เช่น ระบบตะกร้าสินค้า การจัดการสต๊อก การรับชำระเงินออนไลน์ผ่านบัตรเครดิต การขนส่ง และสามารถเริ่มต้นการใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถตอบโจทย์ธุรกิจ SME ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ได้ [2]
เมื่อผู้ประกอบการมีเว็บไซต์เพื่อเป็นสื่อกลางในการขยายตลาดสู่ช่องทางออนไลน์เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือ การเลือกวิธีหรือเทคนิคที่จะสามารถดึงดูดและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเทคนิคที่เหมาะสมและตอบโจทย์มากที่สุดคือการใช้ SEO
SEO คืออะไร? [3]
“SEO” หรือ “Search Engine Optimization” คือ วิธีการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับปรุงเนื้อหาเพื่อให้สามารถรองรับการติดอันดับบน Google และการเพิ่ม Backlink ซึ่งเป็นลิงก์ที่มีคุณภาพมายังเว็บไซต์เพื่อโปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอยู่ในอันดับต้น ๆ บน Search Result Page (หน้าแสดงผลการค้นหา) และขึ้นเมื่อกรอก Keyword (คำค้นหา) ที่ต้องการผ่าน Search Engine (เครื่องมือค้นหา) อาทิ Google, Yahoo!, หรือ Bing เป็นต้น โดยเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ในระยะยาว ซึ่งเว็บไซต์ที่ติดอันดับ 1 บน Google จะมี Traffic คนเข้าเว็บไซต์มากกว่าเว็บที่อยู่อันดับ 10 มากถึง 10 เท่า นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการทํา SEO ให้เว็บไซต์ของผู้ประกอบการติดอันดับต้น ๆ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ในปัจจุบันมีผู้ค้นหาข้อมูลผ่าน Google มากเป็นอันหนึ่งในหลายๆ ประเทศ ผู้ประกอบการจึงเน้นการทำ SEO บน Google เป็นหลัก แต่อย่างไรก็ตาม แต่ละ Search Engine ก็จะมีหลักการไม่ต่างกันมากนัก นั่นคือ การมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด หรือ User Experience (UX) ดังนั้น การทำ SEO ตามหลักของ Google จึงเน้นที่การทำเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ ให้ข้อมูลที่ตรงกับ Keyword ที่ใช้ค้นหา จึงสามารถส่งผลในการทำ SEO ใน Search Engine อื่น ๆ อีกด้วย
เมื่อผู้ประกอบการทราบถึงข้อดีของการทำ Search Engine Optimization แล้ว เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น บทความนี้ขอเสนอเทคนิคการทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ดังนี้ [4]
1. วิจัยคีย์เวิร์ด (Keywords Research) คีย์เวิร์ด เรียกได้ว่าแทบจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google โดยใช้เครื่องมือที่สามารถใช้ในการวิจัยคีย์เวิร์ดได้ว่าคำไหนเป็นคำที่คนทั่วไปนิยม Search ก่อนที่จะเข้ามาดูในเว็บไซต์ของผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการควรพยายามหาคีย์เวิร์ดที่มีจำนวนการค้นหาสูงๆ และในขณะเดียวกันมีคู่แข่งที่ทำ Adwords ในคำนั้นน้อย เพื่อเอามาทำ SEM ต่อไป
2. พัฒนาเทคนิค (Optimize Technically) Google บอทจะจับการอ่านข้อมูลบนเว็บไซต์ในลักษณะเป็น Text และ Code ดังนั้น URL ของคอนเทนต์ของผู้ประกอบการจึงไม่ควรจะเกินประมาณ 100 อักษรและใช้ตัว – (dash) ในการเชื่อมคำแทนที่จะใช้ _ (underscore) และควรหลีกเลี่ยงการใช้สัญลักษณ์พิเศษต่าง ๆ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการทำคอนเทนต์ในเว็บไซต์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกันเพราะอาจจะสร้างความสับสนให้กับบอทของ Google ได้
3. ความง่ายในการใช้ (Ease of Use) ผู้ประกอบการควรตั้งชื่อคอนเทนต์ให้ตรงกับสิ่งที่ต้องการสื่อสาร การสร้างคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาดี พร้อมกับมีคีย์เวิร์ดที่สอดคล้องกันทั้งบทความ รวมทั้งต้องมีความง่ายในการใช้งาน ไหลลื่นไปยังหน้าอื่น ๆ บนเว็บไซต์ต่อ เพราะความไหลลื่นนี้จะช่วยทำให้ผู้ที่เข้ามาดูเว็บไซต์มีโอกาสมากขึ้นที่จะใช้เวลาบนเว็บไซต์ของผู้ประกอบการที่หน้าอื่น ๆ อีก
4. คอนเทนต์มีคุณภาพ (Quality Contents) ผู้ประกอบการควรทำคอนเทนต์ที่สดใหม่ ทันต่อเหตุการณ์การอัปโหลดคอนเทนต์ลงในบล็อกจะช่วยเพิ่มคุณภาพของลิงก์ และเพิ่มระดับคะแนนของเว็บไซต์หลักด้วย ส่วนการโปรโมทด้วยรูปแบบ e-book จะช่วยสร้างลิงก์ใหม่ ๆ ที่เข้ามาอ้างอิงถึงเว็บไซต์ของผู้ประกอบการ และคอนเทนต์ที่นำเสนอด้วยรูปแบบ infographic จะช่วยดึงดูดผู้ชมให้เข้ามาในเว็บได้ง่ายยิ่งขึ้น
5. การใช้ Social Media การมีคอนเทนต์จากเว็บไซต์ที่นำมาฟีดบน Social Media อย่างสม่ำเสมอ จะเป็นการช่วยให้อันดับของเว็บไซต์ของผู้ประกอบการดีขึ้น สิ่งที่สำคัญคือ ผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายที่ผู้ประกอบการต้องการให้เข้ามาดูเว็บไซต์คือใคร หลังจากนั้นจึงเลือกช่องทางที่เหมาะสมแล้วทำการสื่อสารไปยังลูกค้า
6. สร้างการเชื่อมโยงของลิงก์ (Link Building Exercise) การมีเครือข่ายลิงก์ที่อ้างอิงมายังเว็บไซต์ของผู้ประกอบการจะช่วยเพิ่มเครดิตและอันดับของเว็บไซต์บน Google ให้ดียิ่งขึ้น เทคนิคอย่างหนึ่งที่ช่วยได้มาก คือ การใช้บล็อกหรือช่องของ Influencer เนื่องจาก Influencer จะมียอดผู้ติดตามที่สูงจึงสามารถใช้เป็นสื่อกลางที่มีประสิทธิภาพได้
7. สร้างเว็บไซต์ที่เป็น Responsive หรือ Mobile Friendly เนื่องจากในปัจจุบันอุปกรณ์ที่ผู้คนนิยมใช้ในการดูคอนเทนต์จะเป็นโทรศัพท์มือถือมากกว่าคอมพิวเตอร์ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรคำนึงถึงจุดนี้ในการสร้างเว็บไซต์ด้วย
จากที่กล่าวมาทั้งหมด การขยายตลาดไปยังต่างประเทศโดยผ่านช่องทางออนไลน์จึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่ผู้ประกอบการควรคำนึงถึงคือ การเลือกผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและบริการเสริมดิจิทัลต่างๆที่มีบริการเครือข่ายสัญญาณครอบคลุมทั้งไทยและต่างประเทศ เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ NT รัฐวิสาหกิจที่มีความเชี่ยวชาญด้านโทรคมนาคมมายาวนานกว่า 65 ปี พร้อมจะสนับสนุนทุกธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดเล็กหรือใหญ่
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดต่อเพื่อสอบถามการบริการเพิ่มเติมหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ได้ผ่านทาง Facebook Page : NT shop กรุงเทพและปริมณฑลหรือสามารถติดต่อผ่านทางเว็บไซต์ https://nt-metro-service.com
แหล่งอ้างอิง
[1] https://bit.ly/3NySqtv
[2] https://www.makewebeasy.com/th/blog/how-to-make-website/
[3] https://seo-web.aun-thai.co.th/what-is-sem/seo/
[4] https://www.brandbuffet.in.th/2015/04/7-seo-tips-for-google/