<link rel="stylesheet" id="astra-theme-css-css" href="https://nt-metro-service.com/wp-content/themes/astra/assets/css/minified/frontend.min.css?ver=4.8.1" media="all">

โรงเรียนนานาชาติระบบต่าง ๆ ในไทย มีอะไรบ้าง?

การศึกษาที่ดีคือใบเบิกทางสู่ความสำเร็จ ผู้ปกครองหลายคนต่างให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการศึกษาของบุตรหลานเป็นอย่างมาก บางครอบครัวมีการวางแผนระยะยาวตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงขั้นระดับอุดมศึกษา ในประเทศไทยเองก็ถือว่ามีโรงเรียนหลายประเภทเกิดขึ้นมากมาย เช่น โรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนเอกชน โรงเรียนสองภาษา (Bilingual) และโรงเรียนนานาชาติ เป็นต้น ความพร้อมของผู้ปกครองและครอบครัวถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกโรงเรียนให้บุตรหลาน ซึ่งในปัจจุบันนี้ โรงเรียนนานาชาตินับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูง

โรงเรียนนานาชาติเป็นโรงเรียนที่มีการจัดการเรียนการสอนในระบบ โดยใช้หลักสูตรต่างประเทศ หรือหลักสูตรต่างประเทศที่ได้รับการปรับรายละเอียดเนื้อหารายวิชาใหม่ หรือหลักสูตรที่โรงเรียนจัดทำขึ้นเองที่ไม่ใช่หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งโรงเรียนนานาชาติจะใช้ภาษาต่างประเทศในการเรียนการสอนโดยไม่มีการจำกัดเชื้อชาติ ศาสนา และต้องไม่ขัดต่อศีลธรรมและความมั่นคงของประเทศ [1] ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนหรือที่เรียกว่า “Smart School

หลายท่านคงมีคำถามว่า ทำไมปัจจุบัน ผู้ปกครอง พ่อแม่ จึงนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ บทความนี้มีคำตอบให้ [2]

  1. ทักษะด้านภาษา ต้องยอมรับว่าทักษะด้านภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนที่เรียนโรงเรียนนานาชาตินั้นมีความโดดเด่นอยู่มาก เนื่องจากการเรียนการสอนรวมทั้งการใช้ชีวิตในโรงเรียนล้วนสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ การใช้ภาษาใดภาษาหนึ่งอยู่ตลอดเวลาย่อมทำให้เกิดความชำนาญในการใช้ภาษานั้น ๆ อย่างดี
  2. ความหลากหลายทางวัฒนธรรม การเรียนในโรงเรียนนานาชาตินั้น เด็กจะได้เรียนร่วมกับเพื่อนที่มีความแตกต่างด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรม ซึ่งวัฒนธรรมก็จะมีความเฉพาะตัวแตกต่างกันไป เมื่อมาเรียนร่วมกันจึงทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ทำให้เด็กมีการเรียนรู้ความหลากหลายของวัฒนธรรม
  3. เสริมทักษะด้านการสื่อสารและกล้าแสดงออก ด้วยการเรียนที่เรียนร่วมกับเพื่อนหลายเชื้อชาติและต่างวัฒนธรรม วิธีการสื่อสารและการแสดงออกก็จะแตกต่างกับลักษณะของคนไทย ซึ่งการเรียนร่วมกันนี้จะช่วยเสริมทักษะด้านการสื่อสารเนื่องจากเด็กได้ซึมซับวิธีการสื่อสารที่แปลกใหม่ และยังมีส่วนช่วยให้เด็กมีความกล้าแสดงออกอีกด้วย
  4. ฝึกการเข้าสังคม เนื่องจากการเรียนในโรงเรียนนานาชาติเด็กจะได้เรียนร่วมกับเพื่อนที่มาจากหลายประเทศซึ่งมีวัฒนธรรมที่ต่างกัน ทำให้เด็กต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับผู้คนที่แตกต่างจากตนเอง ต้องมีการปรับตัว ดังนั้น เด็กเหล่านี้จึงมีความได้เปรียบเรื่องการเข้าสังคมกับคนที่หลากหลายซึ่งเป็นผลดีในการเข้าสังคมและการทำงานต่อไปในอนาคต
  5. เรียนรู้มุมมองและทัศนคติที่หลากหลาย การเรียนร่วมกับเพื่อนต่างเชื้อชาติจะทำให้เด็กเห็นมุมมองและทัศนคติที่ต่างกันออกไปผ่านการสื่อสารในหลาย ๆ รูปแบบ เนื่องจากคนในแต่ละเชื้อชาติก็จะมีทัศนคติ มุมมอง และวิธีคิดแตกต่างกันไป ซึ่งการเรียนรู้นี้เป็นสิ่งที่ดี เป็นการเรียนรู้ที่ได้เห็นความต่าง เปิดความคิดให้เกิดการคิดนอกกรอบ ไม่จำกัดอยู่ที่แค่ความเคยชินและคุ้นเคยของตนเอง
  6. ได้รับโอกาสในการทำงานที่เปิดกว้าง ตามข้อดี 5 ข้อที่ได้กล่าวมานั้น เป็นคุณสมบัติของบุคคลที่
  7. หลาย ๆ องค์กรมีความต้องการ เพราะในสังคมการทำงานนั้นต้องมีการพบปะบุคคลที่หลากหลาย 
  8. มีการแบ่งปันความคิด มุมมอง ทัศนคติร่วมกันในการทำงาน ต้องมีการปรับตัวและกล้าแสดงออก รวมทั้งความสามารถทางด้านภาษาที่ดีที่จะสร้างโอกาสในการสร้างความก้าวหน้าให้กับตนเองในอนาคต

เมื่อทราบข้อดีของการเรียนในโรงเรียนนานาชาติแล้ว เมื่อต้องเลือกโรงเรียนก็ถึงคราวที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องทำการศึกษาอย่างละเอียดว่า หลักสูตรของโรงเรียนนานาชาติมีกี่แบบ แต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร และสามารถต่อยอดการศึกษาอย่างไรได้บ้าง เพื่อเป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจส่งบุตรหลานเข้าเรียนต่อในโรงเรียนนานาชาติที่ตรงกับเป้าประสงค์ของทั้งผู้ปกครองและบุตรหลานมากที่สุด

หลักสูตรโรงเรียนนานาชาติมีกี่แบบ เรียนแบบไหนดี

เมื่อผู้ปกครองมีความมุ่งมั่นแล้วว่าจะส่งบุตรหลานเข้าเรียนในระบบโรงเรียนนานาชาติ การทำความเข้าใจกับเรื่องหลักสูตรของโรงเรียนนานาชาติจึงมีความจำเป็นอย่างมาก ในประเทศไทยเองมีหลักสูตรโรงเรียนนานาชาติที่ได้รับความนิยมด้วยกัน 3 แบบ ดังนี้ [3]  

1. หลักสูตรแห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษและเวลส์ หรือระบบอังกฤษ 

หลักสูตรนี้มีรูปแบบการสอนและแบบเรียนตามกฎตามกระทวงศึกษาธิการของประเทศอังกฤษ เน้นการศึกษาและวิชาการมากกว่ากิจกรรม มีการปูพื้นฐานความรู้ มารยาท การอ่านและเขียนด้านภาษาตั้งแต่อนุบาล เด็กจะค่อนข้างมีระเบียบวินัยตามแบบผู้ดีอังกฤษ

เมื่อเรียนถึงชั้นมัธยมตอนต้นก็จะใช้หลักสูตรที่เรียกว่า International General Certificate of Secondary Education (IGCSE) ซึ่งจะเรียนประมาณ 8-9 วิชา เป็นวิชาบังคับอย่างน้อย 3 วิชา ได้แก่ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยข้อสอบ IGCSE จะเป็นข้อสอบสากลที่ใช้สอบร่วมกันทั่วโลก จากนั้นนักเรียนที่ต้องการจะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ต้องเรียนต่อในระดับช่วงชั้นที่ 5 หรือที่เรียกว่า Sixth Form นักเรียนเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่จะใช้ในการสมัครเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาหลังจบหลักสูตร 2 ปีสุดท้าย ซึ่งสรุปคร่าว ๆ ว่า เป็นลักษณะการเรียนแบบสามเหลี่ยมคือ เรียนรู้แบบกว้าง ๆ ในช่วงแรก แล้วค่อย ๆ แคบลงตามความสนใจของเด็ก วิชาเรียนจะน้อยลงเรื่อย ๆ โดยจะเรียนเฉพาะเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่ตนเองสนใจ มีการกำหนดช่วงระหว่างอายุ 5-16 ปี ได้แก่

– Early Years (สำหรับเด็กอายุ 3-5 ขวบ)
– ช่วงชั้นที่ 1 อายุ 5-6 ปี (year 1-2)
– ช่วงชั้นที่ 2 อายุ 7–10 ปี (year 3 – year 6)
– ช่วงชั้นที่ 3 อายุ 11–13 ปี (year 7 – year 9)
– ช่วงชั้นที่ 4 อายุ 14–16 ปี (year 10 – year 11) และจะต้องสอบเพื่อเข้าเรียนหลักสูตร A-Level 2 ปีเพื่อเตรียมตัวเรียนต่อในมหาวิทยาลัย

2. หลักสูตรระบบอเมริกัน

หลักสูตรนี้มีรูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสหรัฐอเมริกา หลักการคือ เน้นการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมควบคู่กับวิชาการโดยดูความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญ มีการส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้กว้าง ๆ หลาย ๆ วิชาผ่านการทำโปรเจคหรือกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้เด็กมีความกล้าแสดงออก เป็นตัวของตัวเอง และมีความมั่นใจในตัวเอง โดยโรงเรียนส่วนใหญ่จะจัดการวัดผลรายวิชาเป็นการภายใน เพื่อให้นักเรียนสะสมหน่วยกิตเพียงพอแก่การจบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานตามระบบการศึกษาแบบอเมริกัน

การเรียนการสอนตามหลักสูตรนี้เริ่มที่อายุ 5 ปี หรือในบางโรงเรียนก็เปิดรับนักเรียนในระดับเตรียมอนุบาล (Pre-school อายุ 3-5 ปี ซึ่งไม่ได้เป็นการศึกษาภาคบังคับ) โดยเรียกระดับชั้นเป็น Grade ซึ่งจะแบ่งดังนี้

– ระดับอนุบาล kindergarten (KG)
– ระดับประถมศึกษา Elementary School (Grades 1-5)
– มัธยมศึกษาตอนต้น Middle School (Grades 6-8)
– มัธยมศึกษาตอนปลาย High School (Grades 9-12) หลังจากนั้นนักเรียนจะต้องเตรียมตัวสอบวัดระดับที่เรียกกันว่า SAT เพื่อใช้ศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย

3. หลักสูตรระบบนานาชาติ International Baccalaureate (IB)

หลักสูตรนี้จะเน้นที่กระบวนการสอนให้เด็กได้เรียนรู้ตามช่วงพัฒนาการของเด็ก 3 ระดับ ได้แก่ ระดับปฐมวัยและประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สำหรับนักเรียนนานาชาติที่มีอายุระหว่าง 3-19 ปี โดยได้นำจุดเด่นของทั้งระบบอังกฤษและอเมริกันมารวมกัน เป็นการเรียนแบบบูรณาการการประยุกต์จากหลักสูตรทั่วโลก กล่าวคือ ไม่มุ่งเน้นด้านวิชาการเพียงอย่างเดียวแต่มุ่งให้เด็กรู้จักรักษาสมดุลในชีวิต ได้ทำกิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากการเรียนในห้องเรียน ซึ่งจะทำให้เด็กรู้จักคิด วิเคราะห์ปัญหา รวมไปถึงค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์และมีเหตุผลด้วย 

โรงเรียนที่ใช้หลักสูตรนี้ จะต้องได้รับการอนุมัติจากองค์กร IBO หรือ International Baccalaureate Organization ให้จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรที่เรียกว่า International Baccalaureate (IB) และได้รับอนุญาตให้เป็นหนึ่งในกลุ่มโรงเรียน IB World School ซึ่งครูผู้สอนจะต้องได้รับการพัฒนาวิชาชีพ ผ่านการฝึกอบรมซึ่งจัดโดยองค์กร IBO ด้วยเช่นกัน โดยหลักสูตร IB แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ

– ระดับปฐมวัยและประถมศึกษา Primary Years Programme ใช้เวลาเรียน 8 ปี สำหรับนักเรียนอายุ 3-11 ปี
– ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น Middle Years Programme ใช้เวลาเรียน 5 ปี สำหรับนักเรียนอายุ 11-16 ปี
– ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย Diploma Programme ใช้เวลาเรียน 2 ปี สำหรับนักเรียนอายุ 16-19 ปี เพื่อเตรียมการเรียนที่จะมุ่งเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยต่อไป

ครอบครัวเราพร้อมไหมที่จะส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ

เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองได้ศึกษารายละเอียดอย่างถ้วนถี่ของหลักสูตรแต่ละระบบกันแล้ว ก่อนที่จะตัดสินว่าจะส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติหรือไม่ ผู้ปกครองควรพิจารณาถึงปัจจัยและความพร้อมต่าง ๆ ของครอบครัวก่อน ซึ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องมีประเด็นหลัก ๆ มีดังนี้ [1]

  1. ผู้ปกครองต้องมีความเข้าใจและความเชื่อโดยการให้คุณค่ากับภาษาอังกฤษว่ามีความสำคัญต่อการศึกษาและการประกอบอาชีพในอนาคตของเด็ก เพราะการเรียนในโรงเรียนนานาชาตินั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูง และไม่ใช่เฉพาะค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับค่าเทอมเท่านั้น ผู้ปกครองยังต้องจัดสรรค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทำกิจกรรมอื่น ๆ ควบคู่กับการเรียนอีกด้วย
  2. เด็กต้องมีพื้นฐานภาษาไทยดี มีความพร้อมความสนใจ รวมทั้งชอบเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้พัฒนาการด้านภาษาของเด็กดีขึ้นมากจนสามารถที่จะสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างดีทั้งการอ่าน เขียน พูด และฟัง
  3. ผู้ปกครองต้องเข้าใจและยอมรับว่า การเรียนในโรงเรียนนานาชาตินั้นเด็กต้องเรียนกับเพื่อนที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม จึงมีโอกาสอย่างมากที่เด็กจะซึมซับพฤติกรรมและความคิดบางอย่างที่แตกต่างไปจากวัฒนธรรมไทย ซึ่งพ่อแม่ต้องพร้อมสำหรับการส่งเสริมและปลูกฝังความเป็นไทยให้ลูกด้วย
  4. ผู้ปกครองควรศึกษาข้อมูลของโรงเรียนให้ถ้วนถี่ในด้านต่าง ๆ เช่น ได้รับการรับรองมาตรฐานโรงเรียนนานาชาติสากลหรือไม่ กระทรวงศึกษาธิการให้การรับรองหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบดูว่าโรงเรียนนั้นสามารถสอบเทียบเพื่อไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นได้หรือไม่ เป็นต้น

การศึกษาเป็นรากฐานที่ดีของบุคคล NT พร้อมส่งเสริมการศึกษาของเด็กไทยให้ก้าวสู่ระดับสากลอย่างมีคุณภาพ ด้วยการสนับสนุนเทคโนโลยีด้านการสื่อสารโทรคมนาคมที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อการเรียนรู้ที่ไม่หยุดยั้ง สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดต่อเพื่อสอบถามบริการเพิ่มเติมหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายได้ ผ่านทาง Face book: NT shop กรุงเทพและปริมณฑล สามารถติดต่อผ่านทางเว็บไซต์ https://nt-metro-service.com หรือติดต่อผ่านช่องทาง ID LINE @NTSMESolutionBKK

แหล่งอ้างอิง
[1] https://www.rakluke.com/learning-all/education/item/international-school.html
[2] https://www.trueplookpanya.com/tcas/article/detail/83176
[3] https://www.amarinbabyandkids.com/school/3-international-school-courses/

Scroll to Top
nt-business-solution-expert Popup